ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ สายพันธุ์ B “แตกต่างกันอย่างไร?”

ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ สายพันธุ์ B “แตกต่างกันอย่างไร?”
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ B มีอาการที่คล้ายคลึงกันมาก ทำให้การวินิจฉัยแยกแยะด้วยตัวเองนั้นค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางลักษณะที่อาจช่วยให้สังเกตได้ว่าเป็นสายพันธุ์ใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A มักจะมีอาการรุนแรงกว่า และสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักรุนแรงกว่า มีการกลายพันธุ์ง่าย และอาจแพร่จากสัตว์สู่คนได้ และมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์ B เช่น ไข้สูงกว่า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่า มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วยในผู้ป่วยบางราย
เมื่อใดควรพบแพทย์?
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A และ B มีอาการที่คล้ายคลึงกันมาก ทำให้การวินิจฉัยแยกแยะด้วยตัวเองนั้นค่อนข้างยาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางลักษณะที่อาจช่วยให้สังเกตได้ว่าเป็นสายพันธุ์ใด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A มักจะมีอาการรุนแรงกว่า และสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มักรุนแรงกว่า มีการกลายพันธุ์ง่าย และอาจแพร่จากสัตว์สู่คนได้ และมีอาการรุนแรงกว่าสายพันธุ์ B เช่น ไข้สูงกว่า ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่า มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วยในผู้ป่วยบางราย
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B อาการไม่รุนแรงเท่า กลายพันธุ์น้อยกว่าและแพร่จากคนสู่คนเท่านั้นและมักเกิดการระบาดเฉพาะในระดับท้องถิ่น มีอาการไอแห้ง เจ็บคอ ปวดหัว คัดจมูก และมีไข้ปานกลางผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายเป็นหวัดทั่วไปไม่รุนแรง
การป้องกัน
- ฉีดวัคซีน: ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปี เพื่อป้องกันทั้งสายพันธุ์ A และ B
- รักษาความสะอาด: ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส: สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่แออัด และหลีกเลี่ยงการนำมือสัมผัสใบหน้า
- รักษาสุขอนามัย: หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น